ธารแห่งธรรม - หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร
นักปฏิบัติอย่าหลงกิเลสอย่างละเอียด ให้รู้ปัญญาอริยสัจให้มากๆ ประกอบความเท็จจริง อริยสัจและไตรลักษณ์มีขอบเขตล้างกิเลสทั้งหลายให้พินาศไป เมื่อเห็นความไม่เที่ยงแล้ว จะเห็นความเที่ยงของจิตที่กลั่นมา ความไม่เที่ยง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ปฏิบัติทำให้เข้มแข็งต่อการทรมานจิตของตน ไม่ให้กระทบกระเทือน อัตตกิลมถานุโยคและกามสุขลลิกานุโยคโดยให้เป็นสายกลาง
อยู่วิเวกคืออยู่ป่านั้นสบายที่สุด สุขที่สุด อยู่กรุงเทพ ฯ ทุกข์ที่สุด ทุกข์ทั้งกายทั้งวาจา ทุกข์ทั้งใจ จะเอาเงินมาให้วันละหมื่นๆ ก็ไม่ต้องการเสียแล้ว การที่อยู่กรุงเทพฯ เป็นการจำเป็นอดทนเพราะเห็นแก่ศาสนา
การภาวนากองลม เป็นใหญ่กว่ากรรมฐาน ๔๐ ทัศ เพราะลมหายใจพัดไปทั่วสกลกาย เกิดธาตุรู้ทั่วไปของร่างกายดีกว่ากรรมฐานส่วนอื่นๆ ลมหยาบ ลมอย่างกลาง ลมอย่างละเอียด มีการเข้าออก รู้ด้วยสติสัมปชัญญะ ฟอกให้บริสุทธิ์หมดจดเป็นอย่างดี ลมเป็นอาหารของร่างกาย สติเป็นอาหารของจิต ความดีเป็นอำนาจยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
อำนาจไตรลักษณ์ที่บุคคลชำนิชำนาญแล้ว ไม่มีเวลาดับ สว่างเรื่อยๆ เพราะกำจัดมืดคืออวิชชา
กำจัดมืดเป็นสมบัติของพระอริยเจ้า จิตคงที่ จิตไม่กลับกลอก เพราะท่านมีญาณและมีปัญญา
ผลิมาจากไตรลักษณ์
อมตจิตของพระอรหันต์ นิพพานธาตุตายไปแล้ว ตัวอมตะยังมีอยู่ ดุจบุคคลเขียนตัวอักษรไว้ในที่มืด
จุดประทีปเสียก่อนเขียนแล้วดับไฟ มืดอยู่ก็จริง ตัวอักษรนั้นยังมีอยู่ฉันใด สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาเอง
เป็นอมตธรรม สติก็เรียกได้ เรียกนิพพานก็ได้ ต่อตายดับไปอมตธรรมยังมีอยู่
สัตว์เกิดมาในโลกมีนิมิต ๕ คือ ชีวิตนั้นกำหนดไม่ได้ พยาธิป่วยไข้กำหนดไม่ได้ ๑ กาลมรณะกำหนดไม่ได้ ๑
สถานที่ทิ้งศพกำหนดไม่ได้ ๑ คติที่จะไปเกิดภพหน้ากำหนดไม่ได้ ๑นี้แหละนักปราชญ์เขาไม่ไว้ใจในชีวิต ฯ
สมบัติโลกีย์และโลกุตระเป็นของเก่าคือ พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าทั้งหลาย โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ก็เอาของเก่ามาใช้ทั้งนั้น ๑ สมบัติของพระบรมจักรพรรดิเอาของเก่ารัตนแก้ว ๗ ประการมาใช้ทั้งนั้น ๑ สมบัติโลกีย์และโลกุตระไม่สูญไปจากโลก เป็นสมบัติประจำอยู่ในโลกนี้ทั้งนั้น สุคติ ทุคติ มีประจำอยู่เช่นนั้น ฯ
ผู้เจริญภาวนาใช้อารมณ์ธรรมต่างๆ กัน แต่ละกิเลสอย่างเดียวกัน ดุจเสนาม้า เสนารถ
เสนาเดินด้วยเท้า เพื่อทำสงคราม แต่เอาชัยชนะอย่างเดียวกัน
พระอรหันต์ไม่รู้เป็นบางสิ่งบางอย่าง หลงสิ่งที่ไม่เคยได้สดับ หลงทิศที่ไม่เคยไปก็มี
ในนามบัญญัติที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังก็มี ขีณาสพท่านไม่หลงรู้ไตรลักษณ์ ทำอาสวะให้สิ้น
สัตว์เดรัจฉานเมื่อพักจิตแล้วก็ปฏิบัติตามกิเลสของตัว ส่วนมนุษย์นั้นนักค้นคว้า
มีเพียร มีปัญญา อคฺคํ ฐานํ มนุสฺเสสุ
เรื่องอดีตอนาคตเป็นเรื่องที่ยืดยาว เป็นตัววัฏฏะ เป็นนิวรรณธรรม ทำให้จิตเศร้าหมอง เรื่องปัจจุบันเป็นเรื่องสั้นๆ มีแต่กายกับจิตที่ประกอบไปด้วยไตรทวาร เป็น ทุกฺขํ อนิจฺจํอนตฺตา พระสรรเสริญปัจจุบัน ทำให้มากๆ เพื่อตรัสรู้สวรรค์ นิพพานการภาวนาชำระในดวงจิตนั้นเป็นมหากุศล
พระไตรสรณาคมน์ดับทุกข์ได้นั้น เช่น บุคคลบางคนใจไม่ดีด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่งเมื่อเข้าไปวัดฟังเทศนาก็ใจดี ไม่อย่างนั้น เข้าสมาธิภาวนา กลับเป็นคนใจดี แลเห็นคุณและโทษได้ นี่แหละพระรัตนตรัยดับทุกข์ได้จริง ไม่อย่างนั้นบุคคลมีราคะโทสะ โมหะ มีทุกข์มาก เมื่อมาบวชแล้ว ภาวนาชำระกิเลสได้ ก็เป็นอันที่ดับทุกข์ได้จริง
นักปฏิบัติต้องผ่านมาร ใกล้ต่ออันตรายมาก่อนทั้งหมดทีเดียว ต่อไปจิตจึงกล้า
จึงอาจหาญ ปฏิบัติเห็นความจริงของศาสนา
คนจะตายนั้นจิตกับรูปปรากฏในที่อื่น
ภาวนาก็ดี รักษาศีลก็ดี บำเพ็ญทานก็ดี ทำได้ ทั้งคนจนก็ทำได้ คนโง่ก็ทำได้ คนฉลาดก็ทำได้ไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา
ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกบุคคล นั่ง นอน ยืน เดิน ทำได้หมดทั้งนั้น เป็นคติที่จะประพฤติในศาสนา
ภายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก เหล่านี้ดี ไม่ได้ยึดทั้งเหตุผล เมื่อรู้แล้วปล่อยตามสภาพที่เป็นเองของมัน
ก็รู้แล้วสังขารทั้งหลายเป็นไตรลักษณ์อยู่แล้ว บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของเขา
เมื่อตายก็เป็นเรื่องของเขา
บุญนั้นเป็นแก้วสารพัดนึก ความทุกข์บางอย่าง ถ้าไม่มีบุญแล้วช่วยไม่ได้จริงๆ ส่วนความทุกข์ธรรมดา ทุกข์หนาว ทุกข์ร้อน เป็นต้น ดังนี้ คนจนเขาก็ช่วยตนเองได้ บุญ บุญนี้ไม่เป็นของที่จะซื้อขายได้ หรือขอกันได้ เป็นของประจำใจทุกๆ คน ไม่เหมือนสิ่งภายนอก เช่นอยู่กรุงเทพฯ บางคนขอทานทั้งผัวทั้งเมียทั้งลูกขอจนเป็นเศรษฐี บุญนี้ไม่เป็นเช่นนั้น
การผิดถูกอย่างไร ข้อปฏิบัติอย่าให้ผิดธรรมวินัย ก็เป็นอันที่แล้วกัน ธรรมวินัยเป็นรากแก้ว
ของศาสนา เป็นปฏิปทา ปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ศาสนาเป็นของจริงตามอริยสัจ จะคดโกง ไปทางอื่นไม่ได้ ธรรมวินัยเป็นของจริงสวรรค์นิพพานเป็นของจริง
นอกนั้นเป็นของปลอม ปฏิบัติไปได้ทุคติ ของจริงเป็นปรมัตถ์ ในศาสนา จริงวิมุตติ รวม ๒ อย่าง
การเดินของจิตเป็นเรื่องมรรค เมื่อเดินสิ้นกิเลสแล้วเป็นวิมุตติ
ผู้ที่ถือราคะ โทสะ โมหะ อยู่เช่นนี้ นับว่ายังวุ่นวายอยู่ในโลก เป็นเรื่องที่ไม่สิ้นสุด ราคะ โทสะ
โมหะ เป็นเรื่องของชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ทำให้หมุนเวียนอยู่ในวัฏสงสารไม่มีที่สุด
น้ำพระทัยของพระพุทธเจ้าเป็นของที่ประเสริฐ มีพระมหากรุณาสั่งสอนสัตว์ให้สิ้นทุกข์ได้ การเทศนาของพระองค์เป็นอัศจรรย์ ไตรทวารของพระองค์เป็นอัศจรรย์กำลัง ๑๐ คือ ทศพลของพระองค์เป็นอัศจรรย์ ซึ่งได้นามตามอรรถว่า อัจฉริยมนุษย์เมื่อคราวพระองค์เปล่งสีหนาทในท่ามกลางบริษัท ไม่มีใครคัดค้านได้ ความรู้ของพระองค์เป็นอนันตนัยหาประมาณมิได้ มนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ นาค ครุฑ สู้พระองค์ไม่ได้ จึงได้นามตามอรรถว่า ศาสดาเอก แปลว่าหนึ่งไม่มีสอง ซึ่งเป็นพระบรมครูของโลกทั้งหลาย แม้สำเนียงเสียงของพระองค์ตรัสก็เป็นอัศจรรย์ดุจเสียงพรหม
หรือดุจเสียงนกการเวก เพราะจับใจยิ่งหนักหนา เป็นที่ชักจูงน้ำใจของสัตว์ให้ยินดีตาม
ตรงกับสำเนียงเสียง พอพริกพอเกลือ มีรสชาติ โอชะ โอชารส แก่ผู้ที่ได้สดับฟังเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อภาวนาพิจารณาแยบคายแล้ว สังขารโลกปลงให้เข้าเสียแล้วแต่เขาจะแก่ เจ็บตาย เป็นเรื่องของเขา
รีบเดินมรรคให้พ้นไปจากสังขารโลก เพราะสังขารโลกเป็นภัยใหญ่โต จะอยู่ไปก็เป็นเรื่องของเขา
จะตายก็เป็นเรื่องของเขา แต่ภาวนาความรู้ความเห็นในอมตธรรมนั้นให้มาก
นั้นเองเป็นวิหารธรรมที่พึ่งของจิตเมื่อตายแลอันนี้เองจะไปเกิดในที่ดี
แปลว่าไม่อุทธรณ์ร้อนใจในความแก่ เจ็บ ตาย
นั้นเป็นเรื่องของสังขารโลก
เมื่อรู้เท่าแล้ววางเฉยเป็นความสุขอย่างยิ่ง ถ้ามีความรักความชังอยู่นั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เพราะยินดียินร้ายในเรื่องนั้น แปลว่า เจ็บ แสบ ร้อนไปด้วยเขาจึงเป็นทุกข์
การเดินธุดงค์เที่ยววิเวกในที่ทั้งปวง ขออย่าให้ติดตระกูล ติดอาวาส ติดอาหารติดอากาศ
ฐานะทั้ง ๔ นี้เป็นเครื่องผูกมัด พระโยคาวจรเจ้า เรื่องนี้ไม่ควรสนใจ ทำเหมือนพระมหากัสสปเถรเจ้า
ไม่ติดในที่ทั้งปวง พระเถระไปมาในทิศทั้งปวงไม่ขัดข้อง ดุจนกบินไปในเวหาที่มีกิจอันน้อยฉะนั้น
เมื่อติดแล้วพยายามถอนตัวออกในฐานะทั้ง ๔ นี้ จิตเกษม
ศีลกับสมาธิปราบกิเลสอย่างหยาบและอย่างกลางเท่านั้น แต่กิเลสอย่างละเอียดนั้นปราบด้วยปัญญา
นักค้นคว้าหาเหตุผลด้วยกำลังไตรลักษณ์ ประหารกิเลสเหล่านั้นให้สิ้นไปจากสันดาน ธรรมดาของจิต
ติดกายว่าสวยงาม ใช้ปัญญาแยกส่วน แบ่งส่วนของกายให้เห็นเป็นปฏิกูลโสโครก ให้ชำนิชำนาญ
โดยยิ่ง เมื่อเหนื่อยแล้วเข้าพักในสมาธิ หายเหนื่อยแล้วก็ใช้ปัญญาค้นธาตุเรื่อยๆ ทั้งนั่ง นอน
ยืน เดิน จนสิ้นราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมุจเฉทปหาน
อย่าไปติดสุขในสมาธิในฌานสมบัติอย่างเดียว อย่าไปติดปัญญาอย่างเดียว จิตฟุ้งซ่าน
สมาธิหนุนปัญญา ปัญญาหนุนวิโมกข์วิมุตติ เมื่อถึงวิโมกข์วิมุตติแล้ว จิตพ้นจากกิเลสเท่านั้น
ภิกษุมีมิตรดี มีสหายดี อันนี้เป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า
อสุภะแก้ราคะ เมตตาแก้โกรธ อานาปาแก้วิตกวิจารณ์ อนิจจสัญญาแก้ถอนทิฐิมานะ
อนัตตาพึงเห็นตั้งใจไว้โดยดี ความถอน อัสมิมานะ ขึ้นเสียได้เป็นนิพพาน
ปัญญาเลิศกว่าสิ่งทั้งปวง
ภาวนาให้ดูอสุภะ ไม่ให้ดูนิมิต ไม่ให้ดูพยัญชนะ ต่อนั้นพากเพียรอสุภะ ตั้งแต่อรุณขึ้น
มาถึงพลบค่ำเวลา ๑ ตั้งแต่พลบค่ำไปถึงยาม ๑ ยามกลางคืนตั้งแต่ ๔ ทุ่มไปถึง ๘ ทุ่ม นั้นนอน
นอกนั้นลุกขึ้นภาวนาตลอดสว่างแข่ง ๓ เวลานี้ ใช้ชีวิตเป็นไปด้วยวิธีนี้
ธรรมดาวัฏสงสารย่อมหาต้นหาปลายนั้นไม่พบ เป็นของที่ช้านานนั้นหนักหนา
หาต้นหาปลายไม่ได้ มีแต่พระอริยเจ้าเพราะท่านทำวัฏฏะให้สิ้น ให้สิ้นกิเลสเกิดไม่ได้
สละชีวิตอุทิศไว้ในศาสนา เป็นปรมัตถบารมี มีธรรมอย่างอุกฤษฏ์ ควรแก่มรรคผลนิพพาน
บรรดาพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าสงวนนัก เพราะสุคติเป็นของประเสริฐยิ่งกว่าทุคติ
บรรดาสัปปุรุษสนใจเรื่องศาสนามากกว่าสิ่งอื่นในโลก
การพักจิตของธรรมทั้งหลาย การค้นกายและจิตด้วยไตรลักษณ์เป็นกำลังของปัญญาทั้งหลาย
การรักษาศีลไม่ให้ด่างพร้อยเป็นกำลังของสมาธิทั้งหลาย รวมความว่ารักษาศีลดีแล้ว
หนุนสมาธิ การทำสมาธิดีแล้วหนุนปัญญา ปัญญาดีแล้วหนุนวิโมกข์วิมุตติ
ธรรมดาพระขีณาสพท่านไม่ถือนิมิตที่เป็นกุศลและอกุศลไว้ในดวงจิตนั้น หามิได้
ท่านประพฤติแต่อมตธรรม หาได้เดินผิดตามสมณะอื่นนั้นหามิได้ ท่านเดินตรงตามอริยสัจเท่านั้น
ความรู้ของฤๅษี รู้จุติ รู้ปฏิสนธิ รู้จิตของคนอื่นก็ดี แต่ไม่รู้อริยสัจให้สิ้นกิเลส
เพราะฉะนั้นความรู้ฤๅษีประกอบไปด้วยกิเลส
อยู่สถานที่เป็นมงคลต้องตรวจวินัยให้บริสุทธิ์ ข้อวัตรให้เคร่งครัด แผ่เมตตาจิตถึงเทพ
และอมนุษย์เสมอ เพื่อหายกลัวทำความคุ้นเคยกับเจ้าถิ่น เวลาน้อมจิตเข้าไปถึงหลัก
จิตสว่างไสวมุทิตาเบาจิต ตรวจปฏิภาค อุคหนิมิตแจ่มแจ้งดี จิตสู่วิปัสสนา
เพื่อความรู้เท่า สังขารนำมาซึ่งความเย็นใจและความสงบ
ให้รู้เท่าทันวิมุตติกับสมมุติ วางตัวเป็นกลาง ปฏิบัติรู้ธรรม โดยความเป็นจริง
ไม่เหยียบย่ำอนัตตาลง ยกอัตตาขึ้น ซึ่งเป็นยกข้างออกข้าง จักรอบรู้ธรรมได้อย่างไร
อย่ารู้โลกแล้วหลงธรรม ดุจข้ามแม่น้ำด้วยเรือ ถึงฝั่งแล้วปล่อยเรือ ไม่แบกหามเรือไปด้วย
อัตตาเหมือนคลื่นหรือสัตว์ร้ายในน้ำ อนัตตาเหมือนเรือขี่เดินทาง เมื่อถึงฝั่งแล้วปลอดภัย
ทิ้งเรือแล้วไปดังนี้ ไม่ควรยึดถือไว้โดยทั้งปวง
สมบัติพระบรมจักรพรรดิได้ทั้งสาวกและพระโพธิสัตว์ที่กำลังสร้างบารมี ที่เกิดภพน้อยภพใหญ่
กว่าบารมีจะแก่กล้าตรัสรู้ การก่อสร้างบารมีก็ดี การตรัสรู้ก็ดี ล้วนแต่ทำกรรมที่ดี
ในมนุษย์ทั้งนั้น แม้นรกเปรตอสุรกายก็ดี ล้วนแต่ทำชั่วในมนุษยโลกนี้ทั้งนั้น
พระอริยเจ้าจิตของท่านแนบสังขารในอวัยวะสังขารของท่านแปรอยู่เสมอ รู้ทั้งเกิดและดับ
ทุกวาระจิตไม่มีเผลอ และท่านรู้เท่าสังขารทุกส่วน จึงเรียกท่านมีสติอันไพบูลย์ คือมีสติเต็มที่
ฉะนั้นภายในจิตท่านไม่มีนึกคิดในทางที่ผิด และท่านไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง เพราะฉะนั้น
พระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่มีโทษ ท่านรู้แจ้งอริยสัจอยู่ทุกเมื่อทุกขณะ
วิธีแก้บ้าคือให้ชำนิชำนาญ อนุโลมปฏิโลมของจิต ทวนกระแสเข้าจิตเดิม วางอุเบกขา
ต่ออารมณ์ทั้งหลาย ๑ สำคัญว่านิมิตทั้งหลายเป็นอาการของจิตนั้น ๑เป็นของไม่เที่ยง ๑
ให้ยกเป็นธรรมาธิษฐานในนิมิตนั้นสอนจิต ๑ อย่าสำคัญนิมิตทั้งหลายเป็นของดี ๑
อาการเหล่านี้แต่ละอย่างๆ ล้วนแต่แก้นิมิตบ้าทั้งนั้น หลักสำคัญแก้ได้ด้วยไตรลักษณ์
ลบล้างนิมิตทั้งหลายได้
พิจาณาการตาย เมื่อตายแล้วจิตออกมาให้ปรากฏเป็นลักษณะอย่างนั้นๆ พิจารณากระดูก
และลมหายใจทะลุออก ทุกเส้นขนนั้นดี เพื่อละอุปทาน จิตไม่ติดต่อกับธาตุอันอื่น รู้เฉพาะในดวงจิต
อย่างเดียว โรคก็หาย นี้เป็นตบะอย่างยิ่ง ควรสนใจให้มาก
บุคคลจิตไม่มีธรรมเป็นเครื่องข่มแล้ว วันหนึ่งๆ คิดไปตั้งร้อยแปด เป็นนิสัยของปุถุชน
เพราะอย่างนั้นคติของปุถุชนนั้นเอาแน่ไม่ได้ เมื่อตายไปแล้วจะไปสุคติหรือทุคติ
พระพุทธเจ้าในอดีต อนาคต ปัจจุบัน สามารถประดิษฐ์พระธรรมขึ้นเป็นธรรมนิยานิกธรรม
พระองค์ไม่นิ่งดูดาย ได้ประกาศธรรมคำสั่งสอน ให้สัตว์ปฏิบัติตามได้มรรคผล พระองค์เพียร
จาริกอนุสาสนีสั่งสอนเวไนยสัตว์ ด้วยมหากรุณาอันยิ่งแท้ที่จริงพระธรรมเกิดก่อน
ตั้งแต่พระองค์ไม่ได้เกิด แต่ไม่มีใครประดิษฐ์ขึ้นได้นอกจากพระองค์ไปแล้ว
มีต่อ.....